ตราประทับ
ตราประทับนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี ตราประทับจีนมีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์อินซาง โดยตราประทับที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบในจีน คือ สิ่งที่เรียกว่า “ซางฮี” ที่ใช้การแกะสลักลงบนกระดองเต่า ในสมัยราชวงศ์อินซาง ต่อมาจึงมีการใช้ตราประทับในวงกว้างมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ศิลปะตราประทับของจีนได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้น บรรดาช่างแกะตราประทับสร้างนวัตกรรมและสืบทอดฝีมือจากรุ่นอาวุโสมาอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดเป็นการทำตราประทับสำนักต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสำนักหวั่น (มณฑลอันฮุย) และสำนักเจ้อ (มณฑลเจ้อเจียง) ในสมัยราชวงศ์หมิงและรางวงศ์ชิง ตลอดจนสำนักและสไตล์ต่าง ๆ ในทุกวันนี้ ในประวัติศาสตร์ จีนมีปรมาจารย์ด้านศิลปะตราประทับหลายท่าน ซึ่งรวมถึง นายติง จิ้ง (พ.ศ. 2238 – พ.ศ.2308) นายเติ้ง สือหรู (พ.ศ. 2286 – พ.ศ. 2348) นายอู๋ ชางซั่ว (พ.ศ. 2387 – พ.ศ. 2470) นายฉี ไป๋สือ (พ.ศ. 2406 – พ.ศ. 2500 ) และนายหลิว เจียง (พ.ศ. 2469 – ปัจจุบัน) เป็นต้น ปรมาจารย์เหล่านี้ได้ผสมผสานความเก่าแก่เข้ากับความทันสมัยในการสืบสานและพัฒนาศิลปะตราประทับจีนมาจนถึงปัจจุบัน
ตราประทับเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มาจากชาวจีนสมัยโบราณ ตราประทับในสมัยโบราณใช้เป็นหลักฐานในการมอบอำนาจรัฐ หรือ ใช้เป็นสิ่งพิสูจน์ตัวตนในสมัยโบราณ ชาวจีนให้ความสำคัญกับตราประทับมากซึ่งมีบทบาททางวัฒนธรรมและสังคม มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนมาโดยตลอด
(ที่มา : www.siamrath.co.th)
หินไพโรฟิลไลต์ (Pyrophyllite) เป็นหินไม่แข็งมากนัก มีสีเทา สีเทาปนแดง เมื่อนำไปผสมในเนื้อดินปั้นผลิตภัณฑ์ทำให้มีความทนไฟสูงลดการบิดเบี้ยวของตัวผลิตภัณฑ์ได้ดี ทั้งยังใช้ผสมในน้ำเคลือบเพื่อเพิ่มความหนืด และความทนไฟด้วย
ตราประทับที่เกิดขึ้นในไทยนั้นเป็นตราดินเผารูปสัญลักษณ์ทางศาสนาประกอบอักษรโบราณ พบที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ตราดินเผารูปกลม มีเส้นคั่นตามแนวนอนตรงกลาง แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ส่วนบนเป็นรูปโคหมอบ มีรูปจันทร์เสี้ยวและตรีศูล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะอยู่ด้านบน โคอาจหมายถึงโคนนทิ พาหนะของพระศิวะ ด้านข้างรูปโคเป็นรูปครุฑ พาหนะของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ลักษณะเช่นนี้ คล้ายตราประทับโบราณของอินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะ
ส่วนล่างของตราดินเผา เป็นจารึกจำนวน ๑ บรรทัด นักวิชาการบางท่านเสนอว่า เป็นตัวอักษรพราหมีสมัยราชวงศ์คุปตะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ (ประมาณ ๑,๕๐๐ – ๑,๖๐๐ ปีมาแล้ว) ความว่า
“ศิวํ พฺริหสฺปติ” แปลว่า “พระศิวะผู้ยิ่งใหญ่”
ทั้งนี้มีนักวิชาการบางท่าน เสนอว่า ตัวอักษรที่ปรากฏบนตราดินเผา เป็นตัวอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ความว่า
“ศิวรฺพรหม หฤตา” แปลว่า “พระศิวะ พระพรหมและพระวิษณุ”
ด้านข้างของตราดินเผา ถูกประทับด้วยตรารูปสี่เหลี่ยมเป็นตัวอักษร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ (ประมาณ ๑,๓๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) แต่ยังไม่สามารถอ่านและตีความได้
ตราดินเผารูปแบบเดียวกันนี้ ยังพบที่เมืองโบราณอู่ทอง อีก ๑ ชิ้น แต่มีสภาพชำรุด และยังพบที่เมืองโบราณจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนหนึ่ง โดยด้านข้างหรือส่วนที่เป็นความหนาของตราดินเผาแต่ละชิ้นมีการจารึกข้อความที่แตกต่างกันออกไป จากลักษณะของการแบ่งรายละเอียดของตราออกเป็นสองส่วน มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่ส่วนบน และมีจารึกอักษรโบราณที่ด้านล่าง อาจเทียบได้กับตราดินเผาและเหรียญเงินในศิลปะอินเดีย สมัยคุปตะและหลังคุปตะ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)
จากรูปแบบศิลปกรรมและจารึก ทำให้สันนิษฐานได้ว่าตราดินเผาชิ้นนี้อาจเป็นตราดินเผารุ่นแรกที่พ่อค้าหรือนักบวชชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ลัทธิไศวนิกายนำติดตัวเข้ามาในสมัยทวารวดี เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร อาจเกี่ยวข้องกับด้านการค้า การศาสนา หรือเป็นเครื่องราง ต่อมาคนพื้นเมืองสมัยทวารวดี จึงได้นำแนวคิดการทำตราประทับมาผลิตขึ้นใช้เอง ปรากฏเป็นรูปแบบที่หลากหลายขึ้น